ไรเดอร์หนุ่มเป็นใบ้และหูหนวกถูกลูกค้าแสบหลอกสั่งอาหารแล้วไม่จ่ายเงิน 

ไรเดอร์หนุ่มเป็นใบ้และหูหนวก  มีการเปิดเผยเรื่องราวของไรเดอร์หนุ่มรายหนึ่งผ่านทางสื่อช่อง 3 โดยรายงานข่าวระบุว่ามี Rider หนุ่มซึ่งเป็นบุคคลทุพพลภาพทั้งหูหนวกและเป็นใบ้ได้รับงานจากลูกค้ารายหนึ่ง

โดยมีการสั่งอาหารเป็นจำนวนมากคิดเป็นเงินและมูลค่าเกือบ 3,000 บาท  หลังจากที่ Rider หนุ่มได้รับ Order จากลูกค้าก็รีบเดินทางไปที่ร้านที่ลูกค้าสั่งอาหารทันทีโดยลูกค้าเลือกกดสั่งอาหารแบบเรียกเก็บเงินปลายทาง

        อย่างไรก็ตามเมื่อทาง Rider หนุ่มได้เดินทางมาถึงตรงบริเวณที่ลูกค้าปักหมุดเพื่อรอรับสินค้าปรากฏว่าไม่พบลูกค้าตามที่มีการระบุเอาไว้เมื่อมีการส่งข้อความไปลูกค้าก็ไม่ยอมอ่านข้อความของไรเดอร์ อย่างไรก็ตามด้วยความกังวลใจ Rider หนุ่มได้มีการให้เพื่อนซึ่งเป็นไรด้วยกันโทรไปหาลูกค้าแต่ไม่ว่าจะโทรไปกี่สายลูกค้าก็ไม่ยอมรับโทรศัพท์

จึงทำให้เชื่อได้ว่าลูกค้าหลอกสั่งสินค้าและมีการเท  เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ Rider หนุ่มถึงกับร้องไห้เลยทีเดียวโดยเงินที่ Rider มีการสำรองจ่ายให้กับลูกค้าไปก่อนนั้นเป็นจำนวนเงินสูงถึงเกือบ 3,000 บาทซึ่งเป็นเงินทั้งหมดที่ Rider มีติดตัวในวันดังกล่าวนั้นเอง 

        อย่างไรก็ตามจากการเปิดเผยข้อมูลของทางสำนักข่าวช่อง 3 ระบุว่า  ไรเดอร์ที่ถูกหลอกรายนี้ชื่อว่านายวรวุฒิซึ่งเขาเป็นบุคคลที่เป็นใบ้ไม่สามารถพูดได้รวมทั้งหูหนวกทำอาชีพเป็นไรเดอร์รับส่งอาหารให้กับลูกค้าหลังห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลชลบุรี   อย่างไรก็ตามปรากฏว่าในวันที่ 12 เดือนเมษายน ปีพ.ศ 2565

    มีลูกค้ากดสั่งอาหารผ่านทางแอพพลิเคชั่น  ศูนย์อาหารที่สั่งนั้นมีทั้งเครื่องดื่มกาแฟรวมถึงอาหารจากร้านเอสแอนด์พีซึ่งเป็นร้านชื่อดัง

  แต่เมื่อถึงเวลาที่นำอาหารไปส่งลูกค้ากลับไม่ยอมรับการติดต่อทำให้ Rider หนุ่มถึงกับร้องไห้ระบายความอัดอั้นตันใจกับเพื่อนๆเลยทีเดียว 

       หลังจากเรื่องนี้ถูกเปิดเผยตามสื่อต่างๆปรากฏว่าอดีต สท. เทศบาลเมืองแสนสุขจังหวัดชลบุรีได้เดินทางมาหานายวรวุฒิไรเดอร์หนุ่ม  หน้ากากแอร์    หลังจากนั้นก็มอบเงินจำนวน 3,000 บาทให้โดยระบุว่าจะช่วยเหมาออเดอร์ ดังกล่าวให้เนื่องจากว่าทางอดีต สท. เทศบาลเมืองแสนสุขรู้สึกสงสารที่ Rider ต้องหาเลี้ยงชีพตนเองแบบหาเช้ากินค่ำแต่ต้องมาถูกลูกค้าหลอกลวง 

         สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเพื่อน Rider ด้วยการเล่าให้กับผู้สื่อข่าวฟังว่า  นายวรวุฒิที่ถูกลูกค้าหลอกสั่งอาหารนั้น  ถึงแม้จะติดต่อลูกค้าไม่ได้แต่ก็ยังรอตรงจุดที่ลูกค้าเช็คอินเอาไว้เพื่อหวังว่าลูกค้าจะมารับอาหารซึ่งนายวรวุฒิรอถึงจน 11:00 น ใช้ระยะเวลาในการรอเกือบ 3 ชั่วโมงสูญเสียรายได้ที่จะต้องรับออเดอร์ไปหลายรายการเลยทีเดียว

โพสท์ใน ข่าวสังคมทั่วไป | ติดป้ายกำกับ , | ปิดความเห็น บน ไรเดอร์หนุ่มเป็นใบ้และหูหนวกถูกลูกค้าแสบหลอกสั่งอาหารแล้วไม่จ่ายเงิน 

ประชาธิปไตยกับ….นางงามมิสยูนิเวิร์สเมียนมา 

นางงามมิสยูนิเวิร์สเมียนมา  เกิดการเรียกร้องประชาธิปไตยขึ้นบนเวทีการประกวดนางงามจักรวาล มิสยูนิเวิร์ส ครั้งที่ 69 เป็นประวัติศาสตร์ การประกวดนางงามที่มีการเรียกร้องเกี่ยวกับประชาธิปไตย

เธอคนนี้ก็คือนางงามจากประเทศพม่าเธอใช้พื้นที่เล็กๆบนเวทีประกวดนางงามเพื่อต่อสู้ เพื่ออนาคตของประเทศของเขา นางงามเมียนมาใช้คำเรียกร้องที่ว่า “คนของเรากำลังจะตาย”เธอผู้นั้นชื่อธูซ่า วินท์ ลวิน เธอใช้เวทีประกวดนางงามมิสยูนิเวิร์สในรัฐฟลอริดาประเทศสหรัฐอเมริก

เธอถือโอกาสในงานประกวดชูป้ายเรียกร้องเพื่อให้นานาชาติออกมาช่วยกันต่อต้านการทำรัฐประหารของกองทัพเมียนมา เมื่อวันที่ 1กุมภาพันธุ์ที่ผ่านมาเธอชูป้ายสวดภาวนาให้เมียนมา และในวันที่เธอเรียกร้องเธอสวมชุดชนกลุ่มน้อยคะฉิ่น

ซึ่งตอนนี้กำลังต่อสู้อยู่กับกองทัพเมียนมา ธูซ่า วินท์ ลวิน เธอได้สร้างประวัติอันสูงสุดของเมียนมารโดยการคว้ารางวัล ชุดประจำชาติยอดเยี่ยมบนเวทีมิสยูนิเวิร์สปีนี้ ด้วยแต่โฆษกกองทัพบกของเมียนมา ก็ไม่ได้ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับการแสดงออกทางการเมืองของ มิสยูนิเวิร์สเมียนมาผู้นี้ตามรายงาน แต่หลายฝ่ายจับตาถึงชะตากรรมของธูซ่า วินท์ ลวิน มิสยูนิเวิร์สเมียนมา

รายนี้จะตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับมิสแกรนเมียนมาหรือเปล่า

เพราะถูกกองทัพเมียนมา ออกหมายจับและไม่สามารถกลับประเทศได้หลังจากแสดงความคิดเห็นทางการเมืองบนเวทีมิสแกรนที่ประเทศไทยเมื่อไม่นานนี้ มิสยูนิเวิร์สเมียนมาเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีชื่อเสียงออกมาคัดค้านการยึดอำนาจของกองทัพประชาชนอย่างน้อย 790 ถูกสังหารโดยเจ้าหน้าที่ความมั่นคงเมียนมาและอีก 5000 คนถูกจับกลุ่มน่าเห็นใจ

กลับธูซ่า วินท์ ลวิน เพราะว่าสิ่งที่เธอทำคือความรักที่มีต่อพี่น้องชาวเมียนมา ไม่อยากให้เกิดการสูญเสียชีวิตแต่ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมายของแต่ละประเทศสถานการณ์ตอนนี้ในประเทศพม่าก็ยังมีการปราบปรามจากกองทัพพม่าอย่างต่อเนื่องชนกลุ่มน้อยต่างๆไม่ว่าจะเป็นชาวกะเหรี่ยงก็ยังคงต่อสู้กับกองทัพพม่าอย่างดุเดือดทำให้มีผู้คนเดือดร้อน

และอพยพข้ามฝั่งมายังประเทศไทย ทางการประเทศไทยก็ต้องเปิดศูนย์อพยพเพื่อคอยรับการช่วยเหลือชาวเมียนมาที่มาจากการอพยพจากการสู้รบ ระหว่างกองทัพพม่าและชนกลุ่มน้อย มิสยูนิเวิร์สคนนี้ ก็ถือว่าเรียกร้องประชาธิปไตยให้กับชาวพม่า

ซึ่งเป็นตัวแทนชาวพม่า อาจจะเป็นเสียงเล็กๆแต่ว่าสามารถทำได้ดีในเวทีใหญ่ซึ่งอาศัยเวทีของการประกวดมิสยูนิเวิร์สซึ่งคนดูทั่วโลกต้องมาติดตามต่อไปหรือว่าเธอจะกลับประเทศพม่าได้หรือไหมแล้วจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกับเธอ

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย   หน้ากากแอร์

โพสท์ใน สังคมทั่วไป | ติดป้ายกำกับ , | ปิดความเห็น บน ประชาธิปไตยกับ….นางงามมิสยูนิเวิร์สเมียนมา 

ฮันรยูไปทั่วโลก การเพิ่มขึ้นของวัฒนธรรมเกาหลีอย่างไม่น่าเชื่อ

ในขณะที่เราเจาะลึกลงไปว่าโรคระบาดได้เร่งให้เกิดกระแสโลกาภิวัตน์ของอุตสาหกรรมการตลาดอย่างไร The Drum พิจารณาถึงกำลังซื้อที่เหลือเชื่อของผู้ชมวัฒนธรรมป๊อปเกาหลี (ฮันรยู)

การเพิ่มขึ้นของวัฒนธรรมเกาหลี และดูว่าบางสิ่งที่ดูเหมือนเกินขอบเขตเกินขอบเขตกลายเป็นพรมแดนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดได้อย่างไร การส่งออกทางวัฒนธรรมที่ทั่วโลกได้เห็นมาระยะหนึ่งแล้ว ฮันรยู วัฒนธรรมป็อปของเกาหลีเป็นที่ต้องการสูงเป็นประวัติการณ์ โดยมีซีรีส์ทางทีวีอย่าง Squid Game ของ Netflix ภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลออสการ์อย่าง Parasite

และดาราเคป๊อปอย่าง BTS และ BlackPink ที่ครองความบันเทิงทั่วโลก ตั้งแต่สหรัฐอเมริกาไปจนถึง ฟิลิปปินส์และไทยไปยังสหราชอาณาจักร แต่อะไรเกี่ยวกับเพลงฮิตของเกาหลีเหล่านี้ที่ทำให้พวกเขาดึงดูดโลกตะวันตกและที่อื่น ๆ

การเชื่อมต่อเอเชีย Margot Peppers, Foresight Factory, บรรณาธิการเทรนด์ผู้บริโภคกล่าวว่า มีการริเริ่มของรัฐบาลโดยเจตนาที่จะผลักดันกระแสเกาหลีสู่โลกในระดับโลก ความพยายามที่เกิดขึ้นจากยุค 90 เพื่อสร้างกระแสฮันรยูสู่โลกผ่านสื่อและดนตรี อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยที่วัฒนธรรมเกาหลีจะประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้

เมื่อพิจารณาจากโลกตะวันตกที่หมกมุ่นอยู่กับความบันเทิงของเอเชียมาระยะหนึ่งแล้ว ในช่วงทศวรรษที่ 90 และช่วงต้น ๆ ญี่ปุ่นมีช่วงเวลาที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดกับอะนิเมะ มังงะ ฉากเจป๊อป และวัฒนธรรมยอดนิยม เช่น Studio Ghibli, Pokémon, Ring และ Audition

แต่สิ่งที่ญี่ปุ่นไม่มีในยุคนั้นคือสิ่งที่วัฒนธรรมเกาหลีพยายามทำอยู่ในขณะนี้ นั่นคือโลกยุคโลกาภิวัตน์แบบดิจิทัล Peppers กล่าวว่า “มีบางอย่างที่สามารถเข้าถึงได้มาก “พวกเขา (ญี่ปุ่น) ยังคงถูกมองว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่ แปลกแหวกแนว และเท่ที่จะชอบ

แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นกระแสหลักเสมอไป ในขณะที่วัฒนธรรมเกาหลีสามารถเข้าถึงได้มากและมีการผลักดันให้ละครเกาหลีและเรื่องราวที่มีรากฐานมาจากการตั้งค่าของเกาหลี แต่มีรูปแบบสากลและต้นแบบที่ทุกคนทั่วโลกสามารถเกี่ยวข้องได้ พวกเขาสร้างขึ้นจากความเป็นสากลที่เข้าถึงได้ซึ่งโดนใจผู้คนจริงๆ” ฮันรยูได้รับประโยชน์เป็นพิเศษจากการทำให้เป็นดิจิทัลทั่วโลก ซึ่งแฟนด้อมเคป๊อปเติบโตบนแพลตฟอร์มเช่น Twitter

YeonJeong Kim หัวหน้าฝ่ายพันธมิตร K-pop และ K-content ระดับโลกที่ Twitter อธิบายว่าความสำเร็จของเนื้อหาเกาหลีมาจากวัฒนธรรมแฟนดอมที่ทุ่มเท เป็นระเบียบ และชาญฉลาดที่เริ่มต้นจากเพลง K-pop มีชุมชนขนาดใหญ่ทั่วโลกที่เน้น K-pop และ K-content” คิมกล่าวเสริม “หลังจากรุ่นที่สาม การแสดงดนตรีเคป็อป กลุ่มแฟนคลับเริ่มพัฒนาเป็นชุมชนเปิดทั่วโลก

ต้องขอบคุณการพัฒนาแพลตฟอร์ม SNS แฟนดอมเหล่านี้แผ่อิทธิพล และพลังที่ระเบิดได้ก่อให้เกิดการทำงานร่วมกันในสภาพแวดล้อมของสื่อใหม่  หวยดี    ที่รู้จักกันในชื่อ Twitter Twitter ถูกเรียกว่า “สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเคป็อป” เพราะทุกคนสามารถเป็นผู้ผลิตเนื้อหาหรือผู้บริโภค เริ่มการสนทนา หรือเป็นผู้เผยแพร่ข้อมูลใหม่ได้ “

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เรายังสามารถรับรอง TikTok ให้เป็นกระแสเกาหลีได้อีกด้วย จุรีพร ไทยดำรงค์ Chief Creative Officer ของ GREYnJ United แสดงความเห็นว่าการสื่อสารอย่างแข็งขันกับแฟนๆ ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ทำให้ K-pop ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น “สมาชิกในกลุ่มทุ่มเทให้กับการสื่อสารแบบเรียลไทม์กับแฟนๆ จากทั่วโลกผ่านทาง Twitter

และแพลตฟอร์มอื่นๆ จึงสร้างสายสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง แท้จริง และใกล้ชิดกับพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว “การที่ TikTok เติบโตขึ้น (โดยมีฐานแฟนคลับจากจีนและสหรัฐอเมริกา) ก็ส่งผลกระทบและทำให้วงก้าวข้ามพรมแดนและกลายเป็นระดับโลกได้ ส่วนใหญ่มีบัญชี Tik Tok ของตัวเองซึ่งมีผู้ติดตามหลายล้านคน และเพลง Kpop และท่าเต้นเป็นที่นิยมในการเลียนแบบ – สิ่งนี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

โพสท์ใน สังคมทั่วไป | ติดป้ายกำกับ , | ปิดความเห็น บน ฮันรยูไปทั่วโลก การเพิ่มขึ้นของวัฒนธรรมเกาหลีอย่างไม่น่าเชื่อ

เกี่ยวกับกรูมมิ่ง การปกป้องการค้ามนุษย์

 

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ศาลสูงสุดของรัฐเท็กซัสได้ออกคำตัดสินที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่สำคัญในการตัดสินให้บริษัทสื่อสังคมออนไลน์รับผิดชอบต่อการค้ามนุษย์ที่เกิดขึ้น

การปกป้องการค้ามนุษย์ บนแพลตฟอร์มของตน และอาจผลักดันให้พวกเขาใช้มาตรการเชิงรุกมากขึ้นเพื่อปกป้องผู้ใช้จากการแสวงหาผลประโยชน์จากผู้ค้ามนุษย์ พื้นหลังของคดี เหยื่อค้ามนุษย์ 3 รายยื่นฟ้อง Facebook ในความประมาทเลินเล่อและความรับผิดต่อผลิตภัณฑ์ หลังจากที่พวกเขาได้รับการคัดเลือกและดูแลในฐานะวัยรุ่นผ่านทาง Facebook และ Instagram

พบกับชายเหล่านี้ในชีวิตจริง จากนั้นจึงถูกข่มขืนและค้ามนุษย์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกเขาแย้งว่า Facebook ไม่สามารถตั้งค่าสถานะหรือป้องกันการใช้แพลตฟอร์มในทางที่ผิด และแพลตฟอร์มที่ได้รับประโยชน์จากการเชื่อมโยงผู้คนจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อบทบาทของตนในการอำนวยความสะดวกในการแสวงหาผลประโยชน์และการค้ามนุษย์

ศาลฎีกาเท็กซัสเห็นด้วย เจมส์ แบล็คล็อก ผู้พิพากษาศาลฎีกาแห่งรัฐเท็กซัส ซึ่งเขียนขึ้นเพื่อคนส่วนใหญ่ แย้งว่า “เราไม่เข้าใจมาตรา 230

ว่าด้วย การสร้างดินแดนที่ไร้มนุษย์บนอินเทอร์เน็ตซึ่งรัฐไม่มีอำนาจที่จะกำหนดความรับผิดต่อเว็บไซต์ที่เข้าร่วมโดยเจตนาหรือโดยเจตนา ในความชั่วร้ายของการค้ามนุษย์ออนไลน์” (ที่มา: Houston Chronicle) Facebook ซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังมาตรา 230

มานานแล้วเพื่อป้องกันไม่ให้ต้องรับผิดต่อการกระทำของผู้ใช้ แต่กรณีนี้ทำให้เกิดรอยร้าวในเกราะป้องกันนั้น โดยกล่าวว่า Facebook ไม่คุ้มกันโดยสิ้นเชิง แม้ว่ากรณีนี้จะใช้บังคับเฉพาะในกฎหมายของรัฐเท็กซัส แต่ก็ถือเป็นบรรทัดฐานที่รัฐอื่นๆ สามารถปฏิบัติตามได้ และอาจสร้างแรงกดดันให้ทำเช่นนั้น Facebook สามารถยื่นอุทธรณ์คำตัดสินต่อศาลฎีกาของสหรัฐฯ ได้ แต่นั่นจะทำให้ศาลมีโอกาสออกคำตัดสินที่นอกเหนือไปจากข้อยกเว้นการค้าเด็กในมาตรา 230

ซึ่งอาจทำให้เกราะป้องกันทางกฎหมายที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเสียหาย “ถ้าคุณเปิดมันขึ้นมา มันอาจทำให้ขอบเขตทั้งหมดของมาตรา 230 แคบลงได้” เจฟฟ์ คอสเซฟฟ์ ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ United States Naval Academy และผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของกฎหมายกล่าว เขาตั้งข้อสังเกตว่าผู้พิพากษาคลาเรนซ์ โธมัสกล่าวว่าเขาเชื่อว่ามาตรา 230 ตีความกว้างเกินไปเพื่อประโยชน์ของบริษัทเทคโนโลยี” 

กรูมมิ่งเกิดขึ้นได้อย่างไร คดีนี้อาจเป็นเรื่องแปลกใหม่ แต่ขอเป็นเลนส์มุมกว้าง ผู้หญิงทั้งสามคนนี้ยื่นฟ้องครั้งแรกเมื่อพวกเธอยังเป็นวัยรุ่น คนหนึ่งได้รับการติดต่อจากเพื่อนของเพื่อนที่ชมรูปร่างหน้าตาของเธอ เสนอความช่วยเหลือให้เธอเริ่มต้นอาชีพนางแบบ และหาประโยชน์จากความขัดแย้งกับพ่อแม่ของเธอเพื่อแนะนำให้เธอย้ายออกไปอยู่คนเดียว

ด้วยเหตุนี้จึงแยกเธอออกจากการสนับสนุนจากครอบครัว เธอถูกถ่ายภาพ ภาพของเธอถูกแชร์ออนไลน์ ถูกข่มขืน ทุบตี และจากนั้นก็ถูกค้ามนุษย์ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง เหยื่อรายที่สองได้รับการติดต่อครั้งแรกเมื่ออายุ 14 ปีผ่านทาง Instagram โดยชายคนหนึ่งเสนอคำสัญญาแห่งความรักและอนาคตที่ดีกว่า จากนั้นเขาใช้ Instagram เพื่อโฆษณาว่าเธอเป็นโสเภณี แม้ว่าแม่ของเธอจะบ่นกับ Facebook เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น Facebook ก็ไม่เคยตอบสนอง

เหยื่อรายที่สามอายุ 14 ปีเช่นกัน เมื่อเธอได้รับการติดต่อครั้งแรกผ่านทางอินสตาแกรม พวกเขาสานสัมพันธ์กันผ่านทางข้อความในช่วงเวลา 2 ปีก่อนที่ชายคนนั้นจะขอให้เธอออกจากบ้านและไปพบเขา จากนั้นเธอก็ถูกถ่ายรูปและรูปภาพของเธอก็ถูกแชร์บน Backpage ปล่อยให้มันจมลงไปสักครู่ เธอได้รับการดูแลเป็นอย่างดีเป็นเวลาสองปี

 

สนับสนุนโดย  aesexy

โพสท์ใน สังคมทั่วไป | ติดป้ายกำกับ , | ปิดความเห็น บน เกี่ยวกับกรูมมิ่ง การปกป้องการค้ามนุษย์

ฝรั่งเศสสกัดผู้ประท้วงต่อต้านโควิด-19

ฝรั่งเศสสกัดผู้ประท้วงต่อต้านโควิด-19 สำหรับที่ฝรั่งเศสตอนนี้ในกรุงปารีสรวมไปถึงในหลายเมืองมีภาพของการรวมตัวประท้วงไม่เห็นด้วยกับมาตรการคุมเข้ม covid 19 กลุ่มผู้ประท้วงเรียกตัวเองว่าขบวนการเสรีภาพ

แต่ว่าล่าสุดนะมีภาพการปะทะกันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจมีผู้ชุมนุมบางส่วนถูกจับตัวไปแล้วก็มีความพยายามของเจ้าหน้าที่ที่จะป้องกันไม่ให้ขบวนรถกว่า 500 คันเข้าไปจัดการประท้วงในกรุงปารีส 

ตำรวจฝรั่งเศสยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่กลุ่มผู้ประท้วงที่ถนนฌ็องเซลิเซ่และสถานที่อื่นๆในกรุงปารีสเมืองหลวงของฝรั่งเศสในวันเสาร์หลังจากกลุ่มที่เรียกตัวเองว่ากระบวนการเสรีภาพได้ทำการประท้วงต่อต้านมาตรการคุมเข้มไวรัส covid19 เคลื่อนขบวนเข้าสู่เมืองหลวงรถยนต์ซึ่งนำกลุ่มผู้ประท้วงผ่านจุดตรวจของตำรวจในใจกลางกรุงปารีสกีดขวางการจราจรโดยรอบประตูชัยของฝรั่งเศส

นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้ขว้างปาระเบิดแก๊สน้ำตาเพื่อสลายกลุ่มผู้ประท้วงเพื่อต่อต้านบัตรผ่านวัคซีนที่รัฐบาลนั้นกำหนดให้ใช้เป็นหลักฐานในการเข้าใช้บริการในสถานที่สาธารณะต่างๆ

ในจุดที่ถือว่าใกล้กับประตูชัย และยังมีภาพของการพ่นสเปรย์ใส่ผู้ประท้วงอีกขบวนหนึ่ง ซึ่งจัดการชุมนุมขึ้นในอีกด้านหนึ่งของเมืองตำรวจได้ออกแถลงการณ์ว่าจับกุมผู้ประท้วงไป 14 คนเขียนใบสั่งผู้กระทำความผิดจราจร 317 ใบ ในช่วงเช้าและก่อนหน้านั้นยังได้สกัดรถยนต์กว่า 500 คันที่พยายามจะเข้าไปในกรุงปารีสด้วย 

การประท้วงด้วยวิธีการบีบแตรรถยนต์ได้รับแรงบันดาลใจจากการประท้วงขบวนเสรีภาพในแคนาดากลุ่มผู้ขับขี่ได้โบกธงชาติฝรั่งเศสและบีบแตรรถซึ่งเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไม่ยอมให้พวกเขาเข้าสู่กรุงปารีส 

ขณะเดียวกันมีประชาชนประมาณ 2000-3000 คน ซึ่งรวมไปถึงกลุ่มผู้ประท้วงเสื้อกั๊กเหลืองเดินขบวนประท้วงแยกกันต่างหากได้รับการอนุญาตให้จัดการประท้วงในกรุงปารีสเพื่อต่อต้านมาตรการคุมเข้ม covid 19 และมาตรฐานการครองชีพที่ลดลงท่ามกลางจำนวนติดเชื้อ covid-19 ที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงเวลาที่ไม่ถึง 2 ก็จะถึงวันเลือกตั้งประธานาธิบดีในฝรั่งเศส

ในรัฐบาลของประธานาธิบดีของมาครงตอนนี้  มั่งมีหวยออนไลน์    เรียกว่าต้องการที่จะควบคุมในการประท้วงไม่ให้บานปลายกลายเป็นการประท้วงครั้งใหญ่ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นตอนปี 2018

สำหรับการต่อต้านการประท้วงที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นน่าจะจำกันได้ดีที่ต่อต้านรัฐบาลของกลุ่มเสื้อกั๊กเหลืองนั่นเอง โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้อนุญาตให้กลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านการฉีดวัคซีนและกลุ่มเสื้อกั๊กเหลืองเดินขบวนแบบแยกกันบนถนน 2 สายในกรุงปารีส

ทั้งนี้อย่างไรก็ตามก็ขอให้ติดตามข่าวสารในบ้านเมืองของเราหรือต่างประเทศก็ดีเพื่อเป็นการรับรู้ข่าวสารที่ไม่ควรพลาดในช่วงเวลานี้ที่มีสถานการณ์ต่างๆเกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา

โพสท์ใน สังคมทั่วไป | ติดป้ายกำกับ , | ปิดความเห็น บน ฝรั่งเศสสกัดผู้ประท้วงต่อต้านโควิด-19

มีการรักษาความวิตกกังวลหลายอย่าง

 รวมถึงยาต้านความวิตกกังวล (selective serotonin re-uptake inhibitors, serotonin-norepinephrine reuptake inhibitors, benzodiazepines) กลยุทธ์การรับรู้, แนวทางพฤติกรรม (การบำบัดพฤติกรรมทางปัญญา, การเปิดรับ, การผ่อนคลาย),

ความมีสติและการยอมรับ – วิธีการตาม อย่างไรก็ตาม อัตราการตอบสนองต่อยาต้านความวิตกกังวลอาจไม่ดีนัก ผู้ป่วยจำนวนมากอาจมีผลข้างเคียงในทางลบ เช่น การเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ และเป็นการยากที่จะคาดเดาได้อย่างน่าเชื่อถือว่าผู้ป่วยรายใดจะตอบสนองได้ดี และตัวใดจะมีการตอบสนองการรักษาที่จำกัด ในกรณีที่รุนแรงกว่านั้น เบนโซไดอะซีพีนถูกกำหนดให้รักษาความวิตกกังวล ใช้ยาตามความจำเป็น ใช้มากเกินไป และเสพติดทางร่างกายและจิตใจ

มีการรักษาความวิตกกังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากใช้เป็นเวลานาน [ระหว่างปี พ.ศ. 2539 ถึง พ.ศ. 2556 มีการสั่งจ่ายยาเบนโซไดอะซีพีนโดยเฉลี่ยต่อปีที่ 2.5% ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งแสดงถึงการเพิ่มขึ้นของปริมาณเบนโซที่บริโภคจาก 1.1 เป็น 3.6 กิโลกรัมต่อผู้ใหญ่ 100,000 คน อัตราการให้ยาเกินขนาดเพิ่มขึ้นพร้อมกันจาก 0.58 เป็น 3.07 ต่อผู้ใหญ่ 100,000 คน

แม้ว่าการบำบัดพฤติกรรมทางปัญญาได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการรักษาความวิตกกังวล การเข้าถึงการรักษาที่จำกัดยังคงเป็นความท้าทาย นอกจากนี้ องค์ประกอบการรักษาความวิตกกังวลเชิงรุกของการบำบัดพฤติกรรมทางปัญญายังต้องการให้ผู้ป่วยเผชิญกับความกลัวโดยไม่ต้องใช้กลยุทธ์การปรับอารมณ์  ผู้ป่วยจำนวนมากไม่เต็มใจที่จะทนต่อความรู้สึกไม่สบายที่รุนแรงซึ่งอาจทำให้เกิดและให้คำมั่นต่อกระบวนการบำบัดรักษา 

ผู้ประสบภัยจากความวิตกกังวลจำนวนมากไม่ตอบสนองต่อแนวทางการรักษามาตรฐานเหล่านี้ และอีกหลายคนต้องเผชิญกับอุปสรรคในการรักษา เช่น ขาดการเข้าถึงนักจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตอื่นๆ

ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องระบุวิธีการอื่นๆ ที่อาจเป็นประโยชน์ในฐานะทางเลือกหรืออาหารเสริมสำหรับการรักษาแบบฉีด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีความจำเป็นต้องประหยัดค่าใช้จ่าย ใช้งานง่าย ปรับใช้ได้ง่ายตามขนาด การรักษาความวิตกกังวลอย่างมีประสิทธิภาพโดยปราศจากผลข้างเคียงที่ร้ายแรงในยาต้านความวิตกกังวล เช่น SSRIs, SNRIs และเบนโซไดอะซีพีน หลายคนใช้ดนตรีเพื่อจัดการสุขภาพจิตและการรักษาความวิตกกังวลตามเสียงซึ่งเกี่ยวข้องกับการแสดงดนตรีเพื่อสนองความต้องการนี้ 

การฟังเพลงสามารถลดความวิตกกังวลได้ และหลักฐานบางอย่างชี้ให้เห็นว่าอาจมีประสิทธิภาพมากกว่ายาลดความวิตกกังวล เช่น มิดาโซแลม อาจเป็นเพราะผลกระทบทางประสาทเคมีของดนตรีซึ่งรวมถึงระดับสารฝิ่นและโดปามีนภายในที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีหลักฐานที่แน่ชัดที่ชี้ว่าสิ่งนี้อาจเนื่องมาจากความสามารถของดนตรีในการลดคอร์ติซอลในสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ

(การศึกษาภาคสนาม) เช่นเดียวกับการป้องกันไม่ให้คอร์ติซอลเพิ่มขึ้นและในบางกรณีอาจลดคอร์ติซอลในสถานการณ์ที่ตึงเครียด หลักฐานส่วนใหญ่ชี้ให้เห็นว่าดนตรีสามารถมีประสิทธิภาพมากในการลดความวิตกกังวลที่รายงานด้วยตนเองในตัวอย่างที่ไม่ใช่ทางคลินิกตามการวิเคราะห์เมตาล่าสุด [32] อย่างไรก็ตาม

การวิเคราะห์เมตาเดียวกันพบว่าสัญญาณทางจิตสรีรวิทยาที่เกี่ยวข้องกับความวิตกกังวลลดลงอย่างไม่มีนัยสำคัญ ผู้เขียนการวิเคราะห์อภิมานชี้ว่าความคลาดเคลื่อนระหว่างการรายงานตนเองและจิตสรีรวิทยาอาจเกิดจากความแตกต่างของการศึกษาที่พิจารณาและการขาดมาตรฐานระเบียบวิธีปฏิบัติที่เคร่งครัดโดยรวมซึ่งอาจทำให้ผลการศึกษามีอคติ

ole777    การทดลองควบคุมแบบสุ่มหนึ่งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเด็กที่มีโรควิตกกังวล พบว่า Multi-Modal Music Therapy (MMT) ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างดนตรีบำบัดและการบำบัดพฤติกรรมทางปัญญามีประสิทธิภาพมากกว่าการรักษาปกติ (การผสมผสานของการแทรกแซงทางพฤติกรรม จิตบำบัดทางจิตบำบัด การบำบัดแบบกลุ่มที่ไม่เฉพาะเจาะจง) ตามอัตราการบรรเทาอาการหลังการรักษาที่คงอยู่เป็นเวลาสี่เดือน

โพสท์ใน สังคมทั่วไป | ติดป้ายกำกับ , | ปิดความเห็น บน มีการรักษาความวิตกกังวลหลายอย่าง

ความพ่ายแพ้ของอเมริกาในสงครามเวียดนาม

สงครามเวียดนามถือว่าเป็นสงครามที่เกิดขึ้นครั้งใหญ่และเป็นสงครามที่สร้างบาดแผลให้กับชาวโลกอย่างมาก อย่างที่ทราบกันดีว่าในการทำสงครามเวียดนามนี้นั้น  ความพ่ายแพ้ของอเมริกา  ฝ่ายที่พ่ายแพ้ต่อสงครามในครั้งนี้ก็คือประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกานั่นเอง แม้ในช่วงที่เกิดสงครามจะมีการต่อสู้กันอย่างถึงที่สุดและมีทหารล้มตายจำนวนมาก

ซึ่งความบาดหมางที่เกิดขึ้นในสงครามเวียดนามนี้นั้นก็คือการยึดพื้นที่และการต่อต้านระบบคอมมิวนิสต์ในตอนนั้น

ซึ่งหลายคนก็อาจจะมีการตั้งข้อสงสัยว่าทำไมประเทศมหาอำนาจและประเทศที่มีกองกำลังครบมืออย่างอเมริกานั้นถึงได้พ่ายแพ้ต่อสงคราที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ซึ่งเหตุผลในการพ่ายแพ้นั้นก็มีการวิเคราะห์ออกมาอย่างมากมาย

การเกิดสงครามที่บานปลาย เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้อเมริกานั้นพ่ายแพ้ต่อสงครามในครั้งนี้ ด้วยในตอนนั้นไม่ได้มีการเกิดสงครามเวียดนามเพียงเท่านั้น แต่ยังคงมีสงครามเย็นอยู่ด้วย ทำให้เกิดความตรึงเครียดในสงครามเย็นมากกว่า ทำให้อเมริกานั้นจึงไม่สามารถรบและต่อสู้ได้อย่างเต็มอัตราศึกได้ และก็ยังไม่สามารถที่จะบุกและข้ามเส้นขนานในแนวที่ 17 องศาเหนือ

และไปถึงฮานอยได้ ด้วยความที่เกรงหลังว่าทั้งสหภาพโซเวียตรวมไปถึงจีนนั้น จะผันตัวจากผู้สนับสนุนหลักและมาเป็นผู้ร่วมรบเองทำให้กลัวที่จะเกิดความบานปลายในสงครามครั้งนี้และอานจะทำให้เกิดเป็นสงครามโลกครั้งใหม่ได้นั่นเอง

ทำให้ในตอนนั้นอเมริกาทำได้เพียงการตัดกำลังสนับสนุนในการรบหรือจำนวนเหล่าผู้ร่วมรบโดยการทิ้งระเบิดในพื้นที่หรือจุดที่ต้องสงสัยว่ามีทหารหรือผู้ร่วมรบอยู่ในจุดนั้นๆ 

กฎของโดมิโนอเมริกามีความเชื่อว่าถ้าหากประเทศใดนั้นได้ผันตัวและมีระบบคอมมิวนิสต์เข้ามา ประเทศรอบข้างนั้นก็จะแปรเปลี่ยนเป็นคอมมิวนิสต์ไปด้วยแต่ด้วยหลังจากที่อเมริกานั้นได้แพ้สงครามก็ทำให้เวียดนามเหนือและใต้รวมเป็นหนึ่งเดียวด้วยการเป็นคอมมิวนิสต์นั่นเอง

การสื่อสารทางโทรทัศน์ที่ทำให้เกิดดาบสองคมขึ้น ในช่วงนั้นอเมริกามีโทรทัศน์เพียง 9% เท่านั้น และหลังจากนั้นก็เพิ่มขึ้นทำให้เป็นสิ่งที่จำเป็นและเป็นช่องทางที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร ในการเกิดสงครามในตอนนั้น สื่อโทรทัศน์ขงอเมริการพยายามเผยแพร่ข่าวต่างๆ

และเป็นแนวหน้าในการสื่อสารว่าการทำสงครามนั้นเหล่าทหารและผู้ร่วมรบนั้นมีความเป็นไปอย่างไรบ้าง ทำให้ผู้คนนั้นเห็นความเป็นไปความสูญเสีย  huaydee  และเกิดความเรียกร้องให้กองทัพของอเมริกานั้นถอนกำลังและยุติการทำสงครามในครั้งนั้น และเกิดการเป็นการชุมนุมเพื่อประท้วงด้วย ทำให้อเมริกานั้นเห็นถึงความสำคัญของคนในประเทศก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผล

ที่ทำให้อเมริกานั้นพ่ายแพ้ต่อสงครามเวียดนามด้วย ถึงแม้ว่าเหตุผลในการพ่ายแพ้จะมีอีกหลายข้อแต่ในข้อดังกล่าวที่กล่าวมาก็ถือว่าในการทำสงครามเวียดนามระหว่างอเมริกานั้น การสูญเสียเรียกได้ว่ามหาศาลอย่างมาก

โพสท์ใน ข่าวสังคมทั่วไป | ติดป้ายกำกับ , | ปิดความเห็น บน ความพ่ายแพ้ของอเมริกาในสงครามเวียดนาม

สาวแชร์ประสบการณ์หัวใจสลายหลังพ่อแท้ๆยืมเงินไปแล้วไม่ยอมคืน

สาวแชร์ประสบการณ์หัวใจสลาย หลังพ่อแท้ๆยืมเงินไปแล้วไม่ยอมคืน อุตส่าห์ช่วยเหลือตอนลำบากทั้งที่ไม่ได้เลี้ยงดูกันมา 

      เมื่อวันที่ 9 เดือนมกราคมปีพศ. 2565 ได้มีหญิงสาวคนหนึ่งโพสต์เล่าเรื่องราวแชร์ประสบการณ์ชีวิตของตนเองผ่านเว็บไซต์ pantip โดยเธอมีการระบุว่าเธอนั้นรู้สึกหัวใจแตกสลายและเสียความรู้สึกมากเมื่อเงินเก็บที่เธอมีอยู่ถูกพ่อแท้ๆของเธอนั้นโกงไปซึ่งเงินดังกล่าวนั้นนับได้ว่าเป็นเงินเก็บทั้งชีวิตของเธอและเป็นเงินเก็บก้อนสุดท้ายของเธอนั่นเอง

        อย่างไรก็ตามหญิงสาวรายนี้ระบุว่าพ่อกับแม่ของเธอนั้นได้อย่าขาดจากกันไปนานแล้วตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กและเธอนั้นอยู่กับแม่ของเธอซึ่งพ่อของเธอนั้นตั้งแต่เลิกรากับแม่ของเธอไปก็ไปแต่งงานใหม่และไม่เคยมาส่งเสียเลี้ยงดูเธอหรือช่วยเหลือแม่ของเธอในการเลี้ยงดูเธอเลยอย่างไรก็ตามหลายปีต่อมาเธอต้องใช้ชีวิตอยู่ลำพังเนื่องจากแม่ของเธอนะเสียชีวิตเธอทำงานเก็บเงินโดยเธอมีเงินเก็บติดตัวอยู่ประมาณ 2 แสนกว่าบาท

      หญิงสาวรายนี้ยังกล่าวอีกด้วยว่าหลังจากนั้นไม่นานเธอก็ได้รับการติดต่อจากพ่อแท้ๆของเธอโดยพ่อของเธอนั้นติดต่อมาขอให้เธอช่วยเนื่องจากมีปัญหาด้านการเงินได้มีการเอาบ้านไปจำนองกับเจ้าหนี้แล้วไม่มีเงินทั้งส่งต้นและดอกเบี้ย

ซึ่งตอนนี้  เจ้าหนี้ของพ่อ ของเธอกำลังจะมายึดบ้านดังนั้นพ่อของเธอจึงต้องการยืมเงินเธอเพื่อไปทำการไถ่ถอนบ้านออกมา โดยพ่อของเธอสัญญาว่าจะมีการคืนเงินให้กับเธอโดยแบ่งคืนเป็นงวดๆเดือนละประมาณ 4,000 ถึง 5,000 บาท

        อย่างไรก็ตามหญิงสาวกล่าวว่าหลังจากที่พ่อของเธอได้เงินไปแล้วเพราะของเธอก็มีการส่งเงินมาให้เธอช่วงประมาณเพียงแค่ 2 เดือนแรกเท่านั้นโดยเธอได้เงินยังไม่ถึง 10000 บาทหลังจากนั้นพ่อของเธอก็ขาดการติดต่อเธอไปซึ่งเธอพยายามทักข้อความไปหาเรื่องถึงโทรไปหาแต่พ่อของเธอก็ไม่เคยรับสายเธอและไม่เคยที่จะตอบกลับข้อความเธอเลยโดยพ่อของเธอนั้นจะเข้าไปอ่านข้อความแต่ก็เงียบหายไป

        ปัจจุบันนี้เธอไม่สามารถติดต่อพ่อของเธอได้มาเป็นระยะเวลานานกว่า 1 ปีแล้วและในขณะนี้เธอกำลังเดือดร้อนเป็นอย่างมากเนื่องจากปัญหาภาวะเศรษฐกิจบริษัทของเธอนั้นปิดกิจการและในขณะนี้เธอนั้นตกงานซึ่งเงินเก็บที่เธอมีอยู่เธอนำมาใช้หมดแล้วดังนั้นเธอจึงได้พยายามที่จะติดต่อกลับหาพ่อของเธอเพื่อให้พ่อของเธอนั้นทยอยใช้หนี้ที่ยืมเธอไป

แต่สุดท้ายเธอก็รู้สึกเสียใจ และเจ็บปวดเป็นอย่างมากเพราะพ่อของเธอนั้นยังไม่ยอมติดต่อเธอเลยซึ่งเธอต้องมาเดือดร้อนเพราะๆของเธอดังนั้นเธอยังอยากแชร์ประสบการณ์นี้ว่าอยากจะให้ไว้ใจใครหรืออย่าให้ใครยืมเงินจนหมดเนื้อหมดตัวถึงแม้ว่าคนๆนั้นจะเป็นคนใกล้ตัวของคุณก็ตาม 

 

สนับสนุนโดย.   huaydee

โพสท์ใน ข่าวสังคมทั่วไป | ติดป้ายกำกับ , | ปิดความเห็น บน สาวแชร์ประสบการณ์หัวใจสลายหลังพ่อแท้ๆยืมเงินไปแล้วไม่ยอมคืน

พ่อประกาศตามหาลูกสาววัย 16 ปี หายตัวออกจากบ้านนาน 6 วัน

  พ่อประกาศตามหาลูกสาว   เมื่อวันที่ 24 เดือนพฤศจิกายน ปี พ.ศ 2564 กำลังเป็นเรื่องที่ทางชาวโซเชียลกำลังให้ความสนใจและเฝ้าติดตามดูเกี่ยวกับกรณีที่ผู้ปกครองรายนึงได้มีการโพสต์ข้อความลง Facebook ส่วนตัวประกาศให้คนในโลกออนไลน์  ช่วยออกตามหาลูกสาวของเขาซึ่งเป็นเด็กสาววัย 16 ปี ชื่อว่าน้องฟลุ๊คโดยทั้งคุณพ่อของเด็กระบุว่าลูกสาวหายตัวออกจากบ้านไปนานถึง 6 วันแล้วด้วยหายไปตั้งแต่วันที่ 18 เดือนพฤศจิกายนปีพศ. 2564   

    คุณพ่อของน้องฟลุ๊คยืนยันว่าก่อนน้องฟลุ๊คหายตัวไปไม่ได้มีการทะเลาะกับคนในครอบครัว   ซึ่งนับตั้งแต่น้องฟลุ๊คหายตัวออกจากบ้านไปทุกคนก็พยายามออกตามหาและพยายามโทรติดต่อแต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้สัญญาณสายโทรศัพท์นั้นเหมือนกับเป็นการปิดเครื่องอยู่ซึ่งในขณะนี้คนในครอบครัวค่อนข้างเป็นกังวลใจเป็นอย่างมาก

    อย่างไรก็ตามคุณพ่อของน้องฟลุ๊คระบุว่าถ้าหากใครสามารถแจ้งเบาะแสได้สามารถติดต่อเบอร์ของคุณพ่อโดยตรง   นอกจากนี้คุณพ่อของน้องฟลุ๊คยังมีการอัพเดทความคืบหน้าด้วยว่าหลังจากที่น้องหายตัวไปประมาณ 6 วันนั้นก็มีคนแจ้งเบาะแสเข้ามาเพิ่มเติมว่าพกข้าวของเครื่องใช้ของน้องฟลุ๊คลอยอยู่ในแม่น้ำท่าจีนซึ่งเป็นแม่น้ำที่อยู่ใกล้กับสวนสามพรานจังหวัดนครปฐม

  โดยคนที่พบนั้นเป็นพนักงานร้านอาหารซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำ    ซึ่งในขณะนี้ผู้ปกครองของน้องฟลุ๊คได้มีการแจ้งความเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยเจ้าหน้าที่ที่มีการรับดำเนินคดีก็คือสภ. เมืองนนทบุรีนั่นเอง

         อย่างไรก็ตามล่าสุดนั้นได้มี Twitter ของผู้ประกาศข่าวของสำนักข่าวชื่อดังช่อง 1 มีการอัพเดทข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่าล่าสุดนั้นมีกล่องพัสดุส่งมาจากไปรษณีย์ส่งไปยังบ้านของคุณพ่อของน้องฟลุ๊คแต่ชื่อของผู้จัดส่งนั้นถูกเขียนเอาไว้ว่าเป็นชื่อของน้องฟลุ๊คโดยมีการระบุพื้นที่ในการจัดส่งว่าส่งมาจากอำเภอสามพรานจังหวัดนครปฐมซึ่งในขณะนี้ทั้งคุณพ่อเองได้มีการประสานงานไปทางไปรษณีย์เพื่อขอดูข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของคนมาส่งของเผื่อว่าจะมีเบาะแสของน้องฟลุ๊ค

        สำหรับของที่ส่งมานั้นมีน้ำตาลปี๊บและยารักษาโรค  นอกจากนี้ยังมีการอัพเดทข้อมูลด้วยว่ามีพลเมืองดีให้ข้อมูลว่าที่บริเวณสายใต้ใหม่นั้นมีคนเห็นน้องฟลุ๊คอยู่กับหญิงสาวรายหนึ่งซึ่งมีการแต่งกายลักษณะคล้ายกับทอมบอยซึ่งเรื่องนี้ถ้ามีการนำเริ่มมาปะติดปะต่อกันก็อาจจะเป็นไปได้ว่าน้องฟลุ๊คอาจจะมีการไปอยู่กับเพื่อนโดยที่ไม่ยอมแจ้งผู้ปกครองและปิดช่องทางการติดต่อเพราะเกรงว่าผู้ปกครองจะพาตัวกลับบ้านนั่นเองอย่างไรก็ตามคงต้องรอเจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนเรื่องนี้ต่อไป 

 

สนับสนุนโดย.   aesexy

โพสท์ใน ข่าวสังคมทั่วไป | ติดป้ายกำกับ , | ปิดความเห็น บน พ่อประกาศตามหาลูกสาววัย 16 ปี หายตัวออกจากบ้านนาน 6 วัน

สาเหตุย้ายเมืองหลวงกรุงจาการ์ตา

สำหรับเรื่องของอินโดนีเซียเขาได้มีการวางแผนกันมาสักพักนึงแล้ว สาเหตุย้ายเมืองหลวง ว่าจะทำการย้ายเมืองหลวงแห่งใหม่จากกรุงจาการ์ตาไปอยู่ที่จังหวัดกาลิมันตันทางตะวันออกของเกาะบอร์เนียว 

แต่ว่าในเวลานี้กรุงจาการ์ตามีความแออัดเหลือเกินแต่ว่าล่าสุดนี้มีการรายงานออกมาทางรัฐสภาได้มีการอนุมัติแล้วในการย้ายเมืองหลวงแห่งใหม่ก่อนหน้านี้มีความพยายามของอดีตประธานาธิบดีของประเทศอินโดนีเซียหลายคนแล้ว 

ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาเขาได้บอกว่ากรุงจาการ์ตาสุดท้ายแล้วมันไปไม่รอดเพราะว่ามีความเสี่ยงที่จะจมทะเลมากเหลือเกินเพราะฉะนั้นล่าสุดประกาศออกมาแล้วด้วยสำหรับชื่อเมืองหลวงแห่งใหม่ 

ซึ่งเขาได้มีการระดมชื่อเข้ามาเพื่อที่จะคัดเลือกว่าจะใช้ชื่ออะไรล่าสุดได้ชื่อนี้มาเลยนูซันตาราเป็นชื่อเมืองหลวงแห่งใหม่ของอินโดนีเซียแล้วเดี๋ยวจะเตรียมการเริ่มสร้างเมืองแล้วคาดว่าใช้เวลาอีกพอสมควรเลยทีเดียว

นอกจากนี้การย้ายเมืองหลวงของประเทศอินโดนีเซียจากกรุงจาการ์ตาหลังจากนี้เริ่มเรียกชื่อใหม่กันได้แล้วจากอินโดนีเซียจะไม่ได้ชื่อกรุงจาการ์ตาอีกต่อไป

แต่จะมีชื่อใหม่ที่เรียกว่านูซันตาราย้ายจากเกาะชวาจะย้ายไปที่เกาะบอร์เนียวเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่มากยิ่งขึ้นที่บริเวณจังหวัดกาลิมันตันตะวันออกแล้วตั้งชื่อเมืองที่กำลังจะสร้างว่านูซันตารานั่นเอง 

สำหรับนูซันตารานั้นก็มีความหมายว่าหมู่เกาะในภาษาของอินโดนีเซียก็ได้มีการคัดเลือกมาจากประมาณซัก 80 รายชื่อแล้วก็ทางประธานาธิบดีก็เคาะแล้วเห็นชอบใช้ชื่อนี้ 

เพราะว่ามันมีความเข้ากับสภาพของประเทศอินโดนีเซียที่มีความเป็นหมู่เกาะนั่นเองและเดี๋ยวอีกไม่นานก็จะเริ่มต้นการสร้างเมืองใหม่เมืองหลวงแห่งใหม่นูซันตาราแห่งนี้ 

นอกจากนี้เรามาดูสาเหตุกันว่าทำไมถึงต้องมีการย้ายเมืองหลวงกรุงจาการ์ตาออกไปที่กรุงนูซันตาราด้วยอย่าลืมว่ากรุงจาการ์ตาเป็นหนึ่งในเมืองหลวงที่ค่อนข้างอัดมากที่สุดเมืองหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้

โดยประชาชนในเฉพาะกลุ่มจาการ์ตาอยู่ที่ประมาณ 11 ล้านคนและใน 11 ล้านคนยังไม่รวมปริมณฑลหรือที่เรียกกันว่าCreator area หากรวมทั้งหมดนี้จะมีจำนวน 30 ล้านคน 

ถ้าหากว่าติดตามข่าวสารวงการต่างประเทศในเรื่องของภัยธรรมชาติมาโดยตลอดจะเห็นได้เลยว่ากรุงจาการ์ตาเผชิญกับวิกฤตน้ำท่วมรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ 

ซึ่งเป็นเมืองที่ซุดอย่างรวดเร็วมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเพราะว่าเรื่องของน้ำใต้ดินที่มีการถูกนำเอาขึ้นมาใช้ค่อนข้างมากมีการเก็บผลสำรวจรายปีพบว่าพื้นที่ตอนเหนือของกรุงจาการ์ตาต่ำลงราวประมาณ 25 เซนติเมตรต่อปีทุกปีเลยทีเดียวจึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ย้ายเมืองหลวงแห่งใหม่

 

สนับสนุนโดย.  แทงหวยออนไลน์

โพสท์ใน สังคมทั่วไป | ติดป้ายกำกับ , | ปิดความเห็น บน สาเหตุย้ายเมืองหลวงกรุงจาการ์ตา